ตั้งแต่ต้นปี 2568 ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นกว่า 7.9% แตะระดับแข็งค่าสุดนับตั้งแต่ปี 2564 โดยไม่ได้สะท้อนจากปัจจัยพื้นฐานของเศรษฐกิจไทย แต่ได้รับแรงหนุนจากดอลลาร์สหรัฐที่อ่อนค่า ราคาทองคำที่ปรับขึ้นต่อเนื่อง และความเชื่อมั่นนักลงทุนที่ฟื้นกลับมาหลังการเมืองไทยมีความชัดเจนมากขึ้น
ปวริศ ปิยะจิตเมตตา
นักวิจัยสถาบันวิจัยนโยบายเศรษฐกิจการคลัง
ปวเรศ ปิยะจิตเมตตา
นักกลยุทธ์การลงทุน
ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นประมาณ 7.9% ตั้งแต่ต้นปี (YTD) และแข็งค่าขึ้น 2.2% ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา โดยเป็นการค่าเงินบาทแข็งค่ามากที่สุดในรอบ 4 ปี นับตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2021 (แผนภาพที่ 1) แม้เงินบาทจะแข็งค่าขึ้นในปีนี้ แต่การแข็งค่าของเงินบาทอาจไม่ได้สะท้อนจากปัจจัยด้านพื้นฐานเศรษฐกิจของไทยเป็นหลัก และสวนทางกับการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทยที่ลดจาก 2.25% เมื่อต้นปีนี้ มาสู่ระดับ 1.5% ในเดือนสิงหาคม โดยค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นครั้งนี้ ผู้แต่งมองว่าเป็นผลจากความสัมพันธ์เชิงผกผันกับค่าเงินดอลลาร์เป็นหลัก โดยค่าเงินดอลลาร์อยู่ในแนวโน้มทิศทางอ่อนค่า ซึ่งเป็นผลจากการที่นักลงทุนลดการถือครองดอลลาร์และได้ย้ายไปถือครองสินทรัพย์ในตลาดเกิดใหม่เพิ่มมากขึ้น ปัจจัยสำคัญมาจากทั้งด้านนโยบายการเงินและนโยบายเศรษฐกิจของประเทศสหรัฐอเมริกา โดยตลาดคาดว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ จะเริ่มลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย หลังตัวเลขการจ้างงานและตัวเลขเศรษฐกิจหลายด้านส่งสัญญาณอ่อนแรง ขณะเดียวกันนโยบายของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่มักโจมตีธนาคารกลางและดำเนินมาตรการกีดกันทางการค้า ได้เพิ่มความกังวลเกี่ยวกับความน่าเชื่อถือของดอลลาร์ ส่งผลให้เกิด De-dollarization ไปยังสกุลเงินที่นักลงทุนมองว่ามีศักยภาพมากกว่า ซึ่งหนึ่งในนั้นคือเงินบาท และกระจายการลงทุนไปยังสินทรัพย์ปลอดภัยมากขึ้น รวมถึงพันธบัตรในตลาดเกิดใหม่ เช่น พันธบัตรรัฐบาลไทย โดยอัตราผลตอบแทนพันธบัตรไทยได้ปรับตัวลดลงราว 1% ตั้งแต่ต้นปี สะท้อนถึงแรงซื้อของนักลงทุนที่เข้ามาอย่างต่อเนื่อง (แผนภาพที่ 2)
แผนภาพที่ 1: การเคลื่อนไหวของค่าเงินบาท

แผนภาพที่ 2: การปรับตัวลดลงของอัตรผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปี

ทั้งนี้ ค่าเงินบาทถือได้ว่ามีการแข็งค่ามากที่สุดเมื่อเทียบกับประเทศหลัก ๆ ในภูมิภาคเอเชีย (พิจารณาจากแผนภาพที่ 3) ผู้แต่งจึงมีความเห็นว่าปัจจัยที่ทำให้ค่าเงินบาทแข็งค่าไม่ใช่มีเพียงแค่ปัจจัยด้านดอลลาร์เท่านั้น โดย ผู้แต่งมองว่าค่าเงินบาทได้รับแรงกดดันจากราคาทองคำที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยแต่ตั้งต้นปีที่ผ่านมาค่าเงินบาทมีการเคลื่อนไหวตามการปรับตัวของราคาทองคำ กล่าวคือ ค่าเงินบาทมีการแข็งค่าขึ้นตามราคาทองคำที่สูงขึ้น (พิจารณาจากแผนภาพที่ 4) นอกจากนี้ เมื่อพิจารณาถึงค่าความสัมพันธ์ของค่าเงินต่อการเคลื่อนไหวของราคาทองคำ จะพบว่าค่าเงินบาทมีความสัมพันธ์ต่อการเคลื่อนไหวของราคาทองคำมากกว่าสกุลเงินในภูมิภาคเอเชียอื่น โดยการปรับตัวของราคาทองคำมีผลต่อการค่าแข็งของค่าเงินบาทมากถึง 30% ในขณะที่ค่าเงินของประเทศอื่น ๆ มีความสัมพันธ์กับราคาทองคำในระดับต่ำ ยกเว้นค่าเงินของประเทศเกาหลีใต้และประเทศจีนที่มีความสัมพันธ์กับราคาทองคำในระดับปานกลางโดยมีค่าความสัมพันธ์เท่ากับ 10.4% และ 16.8% ตามลำดับ (พิจารณาจากแผนภาพที่ 5) ปัจจัยนี้เองจึงเป็นสาเหตุให้ค่าเงินบาทปรับตัวแข็งค่าขึ้นมากกว่าประเทศต่าง ๆ ในภูมิภาคเอเชีย
แผนภาพที่ 3: ค่าเงินดอลลาห์อ่อนค่าลง ในขณะที่ค่าเงินในภูมิภาคอื่น ๆ แข็งค่าขึ้น ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา

แผนภาพที่ 4: ค่าเงินบาทมีการเคลื่อนไหวตามการปรับตัวของราคาทองคำ

แผนภาพที่ 5: ความสัมพันธ์ของค่าเงินต่อการเคลื่อนไหวของราคาทองคำ

หมายเหตุ: ค่าความสัมพันธ์ของค่าเงินต่อการเคลื่อนไหวของราคาทองคำพิจารณาจากค่า R-squared ที่ได้จากสมการถดถอยเชิงเส้นตรง โดยประมาณอัตราผลตอบแทนค่าเงินรายสัปดาห์ด้วยอัตราผลตอบแทนทองคำ
ขณะเดียวกัน ผู้แต่งมองว่าการเลือกนายกรัฐมนตรี อนุทิน ชาญวีรกูล ช่วยคลี่คลายความไม่แน่นอนทางการเมือง ผนวกกับการที่นายกรัฐมนตรีได้เลือก Technocrat เข้ามาดูแลกระทรวงสำคัญด้านเศรษฐกิจซึ่งได้แก่กระทรวงการคลังและกระทรวงพานิชย์ ส่งผลต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน กระตุ้นให้นักลงทุนต่างชาติกลับมาซื้อพันธบัตรไทย 131 ล้านดอลลาร์มากที่สุดในรอบสามเดือน (ข้อมูล ณ วันที่ 8 กันยายน 2568) ซึ่งสะท้อนถึงความเชื่อมั่นของประเทศไทยที่เริ่มฟื้นตัว โดยเงินทุนต่างชาติที่ไหลกลับเข้ามา สะท้อนความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจและการเมืองไทยในระยะสั้น หนุนบรรยากาศการลงทุนและอาจเป็นแรงขับเคลื่อนบวกต่อหุ้นไทย โดยเฉพาะกลุ่มที่พึ่งพาดีมานด์ภายในประเทศ มุมมองเชิงบอกของนักลงทุนที่มีต่อรัฐบาลชุดใหม่ส่งผลให้ค่าเงินบาทปรับตัวแข็งค่าขึ้นไปอีก โดยวันที่รัฐสภาได้เลือกให้อนุทิน ชาญวีรกูล เป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศไทย ค่าเงินบาทได้ปรับตัวแข็งค่าขึ้นถึง 0.7% และวันต่อมาค่าเงินบาทได้ปรับตัวแข็งค่าขึ้นอีก 1.2% รวม 2 วัน นับตั้งแต่ได้นายกรัฐมนตรีคนใหม่ค่าเงินบาทได้ปรับตัวแข็งค่าขึ้นไปประมาณถึง 2%
แผนภาพที่ 6: ค่าเงินบาทปรับตัวแข็งค่าขึ้นหลังจากได้นายกรัฐมนตรีคนใหม่

ผู้แต่งประเมินว่าแม้เงินบาทได้รับแรงหนุนจากการคาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ จะปรับลดดอกเบี้ยสองครั้งในปีนี้ ภายหลังการแถลงเชิง Dovish ของประธานเฟด เจอโรม พาวเวลล์ ในเวที Jackson Hole Economic Symposium และตัวเลขตลาดแรงงานสหรัฐฯ ไม่ว่าจะเป็น JOLTS, ADP และ NFP ที่ออกมาต่ำกว่าคาดอย่างมาก ซึ่งโดยปกติจะกดดันดอลลาร์ให้อ่อนค่าและเอื้อต่อการแข็งค่าของเงินบาท แต่ทิศทางเงินบาทในระยะต่อไปอาจไม่แข็งค่าไปมากกว่าระดับปัจจุบัน เนื่องจากทั้งธนาคารแห่งประเทศไทยและฝ่ายเศรษฐกิจของรัฐบาล โดยว่าที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ ได้ส่งสัญญาณชัดเจนว่าพร้อมแทรกแซง และออกมาตรการดูแลค่าเงินบาท เพื่อป้องกันไม่ให้เงินบาทแข็งค่าเกินไปจนกระทบต่อภาคส่งออกและเสถียรภาพเศรษฐกิจ