โครงการการวิเคราะห์ผลที่เกิดขึ้นจากการลงทุนด้านสุขภาพต่อเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ

บทสรุปผู้บริหาร

การลงทุนด้านสุขภาพส่งผลให้เกิดการพัฒนาไม่เพียงแต่ในด้านสังคมและคุณภาพชีวิตเท่านั้น แต่ส่งผลถึงการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศด้วย การลงทุนด้านสุขภาพจึงนับได้ว่ามีความสำคัญอย่างมากต่อการพัฒนาทั้งด้านเศรษฐกิจและสังคมของประเทศจึงควรมีการศึกษาผลกระทบที่เกิดจากการลงทุนด้านสุขภาพต่อเศรษฐกิจและสังคมของประเทศไทยเพื่อเป็นประโยชน์ในการกำหนดแนวนโยบายเกี่ยวกับการลงทุนด้านสุขภาพที่เชื่อมโยงต่อการพัฒนาด้านสาธารณสุข ซึ่งจะนำไปสู่การพิจารณาส่งเสริมการลงทุนด้านสุขภาพในอนาคตอย่างเหมาะสมการศึกษานี้จัดทำขึ้นเพื่อวิเคราะห์ผลกระทบที่เกิดจากการลงทุนด้านสุขภาพต่อเศรษฐกิจและสังคมของประเทศไทยโดยมีวัตถุประสงค์หลัก ได้แก่

(1) การวิเคราะห์ข้อมูลค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพของภาครัฐและข้อจำกัดในการลงทุน
(2) การประเมินผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคมจากการลงทุนด้านสุขภาพโดยใช้แบบจำลองทางเศรษฐศาสตร์ และ
(3) การจัดทำข้อเสนอเชิงนโยบายเพื่อส่งเสริมการลงทุนด้านสุขภาพที่มีประสิทธิภาพและยั่งยืน

การศึกษานี้วิเคราะห์ผลกระทบทางเศรษฐกิจจากการลงทุนในภาคเศรษฐกิจสุขภาพผ่าน Multiplier Model โดยใช้ Social Accounting Matrix (SAM) สำหรับสาขาสุขภาพพบว่าภาคเศรษฐกิจสุขภาพมีบทบาททางเศรษฐกิจในระดับปานกลางเมื่อเปรียบเทียบกับสาขาอื่นในระบบเศรษฐกิจ โดยมีค่าตัวคูณทวีด้านมูลค่าเพิ่ม (Value-added Multiplier) เท่ากับ 1.22 เท่า ซึ่งหมายความว่าการลงทุนในสาขาสุขภาพเพิ่มขึ้น 1 บาท จะสร้างมูลค่าเพิ่ม (Gross Domestic Product, GDP) ได้ 1.22 บาท โดยเมื่อวิเคราะห์ภาคสุขภาพ แยกเป็น 4 สาขาย่อย พบว่าการวิจัยทางการแพทย์มีค่าตัวคูณสูงสุดที่ 1.32 เท่า รองลงมาคือบริการทางการแพทย์และอนามัย (1.19) การผลิตยารักษาโรค (1.10) และการผลิตเครื่องมือทางการแพทย์ (0.57) การลงทุนในสาขาวิจัยทางการแพทย์สร้างผลตอบแทนสูงสุดต่อ GDP เนื่องจากส่งเสริมการพัฒนาองค์ความรู้และนวัตกรรมด้านสุขภาพ ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญในการยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศในระยะยาว

จากการวิเคราะห์ผลตอบแทนทางสังคม (Social Return on Investment, SROI) โดยใช้กรอบทฤษฎีการเปลี่ยนแปลง (Theory of Change) จากการวิเคราะห์การลงทุนด้านสุขภาพใน 4 ประเภทหลัก ได้แก่

(1) การผลิตยารักษาโรค ซึ่งให้ค่า SROI เท่ากับ 7.43
(2) การผลิตเครื่องมือแพทย์และอุปกรณ์วิทยาศาสตร์ให้ SROI เท่ากับ 2.68
(3) การบริการทางการแพทย์และอนามัยให้ค่า SROI เท่ากับ 2.61 และ
(4) การวิจัยทางการแพทย์ให้ค่า SROI สูงสุดที่ 8.17

ในขณะเดียวกันหากพิจารณาถึงความคุ้มค่าด้านสังคมที่เกิดขึ้นจากการลงทุนงบประมาณรัฐจะได้ผลลัพธ์ว่าการลงทุนด้านการวิจัยทางการแพทย์ และการลงทุน ด้านการผลิตยารักษาโรค ให้ผลตอบแทนสู่สังคมที่ค่อนข้างสูง ดังนั้นหากพิจารณาถึงความคุ้มค่าในการลงทุนด้านสุขภาพจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องพิจารณาถึงมุมมองของการตอบแทนทางสังคมด้วย เนื่องจากผลตอบแทนทางตัวเงินในด้านสุขภาพถึงแม้จะดูน้อยในเชิงเศรษฐกิจ แต่กลับสร้างผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นทางสังคมที่ค่อนข้างสูง

ดังนั้นการลงทุนด้านสุขภาพไม่เพียงแต่ช่วยเพิ่มคุณภาพชีวิตของประชาชน แต่ยังเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและลดความเหลื่อมล้ำ จากผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจะสะท้อนให้เห็นว่าการลงทุนด้านสุขภาพนอกเหนือจากการพิจารณาถึงผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจแล้ว อาจจะต้องคำนึงถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อสังคมก็เป็นอีกปัจจัยสำคัญที่ควรนำมาพิจารณาให้เกิดการลงทุนด้วยจึงจะมีความเหมาะสมต่อการขับเคลื่อนนโยบายด้านการลงทุนสุขภาพที่กระทบต่อประชนชนในวงกว้าง

นอกจากนี้งานวิจัยชิ้นนี้ยังได้นำเสนอกรณีศึกษานโยบายเฉพาะด้าน ได้แก่ การจัดตั้งกองทุนยามะเร็ง (Cancer Drugs Fund, CDF) โดยจะมีการวิเคราะห์ผลตอบแทนทางสังคม (SROI) ผ่านการประเมินซึ่งครอบคลุม 2 มิติหลัก ได้แก่
(1) ด้านคุณภาพชีวิตของประชากร และ (2) ด้านความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงบริการสุขภาพโดยผลการวิเคราะห์จะพบว่า จากการคำนวนด้านคุณภาพชีวิตของประชากรในประเทศอังกฤษโดยใช้แบบจำลอง Interrupted Time Series with Control Group เพื่อเปรียบเทียบผลลัพธ์ด้านสุขภาพของประเทศอังกฤษซึ่งมีการดำเนินนโยบายกองทุนยา กับประเทศเยอรมนีที่ไม่มีนโยบายในลักษณะเดียวกัน ผลลัพธ์ที่ได้พบว่าประเทศอังกฤษจะมีแนวโน้มของปีสุขภาวะที่สูญเสียจากโรคมะเร็ง (DALYs) ลดลงเฉลี่ย 16.95 ปีต่อประชากรแสนคนต่อปีหลังการจัดตั้งกองทุน ทั้งนี้เมื่อพิจารณาควบคู่กับมิติด้านความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงยา จะส่งผลให้เมื่อประเมินเป็นมูลค่าผลตอบแทนทางสังคมรวมพบว่าโครงการนี้จะมีค่าผลตอบแทนทางสังคม (SROI) เท่ากับ 1.21 หมายความว่า ทุกการลงทุนด้านสุขภาพ 1 บาท จะสร้างมูลค่าผลตอบแทนทางสังคมเพิ่มขึ้น 1.21 บาทโดยครอบคลุมทั้งการลดภาระโรค การเพิ่มคุณภาพชีวิต และการลดความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงการรักษาโรคมะเร็ง

จากผลการศึกษาในครั้งนี้ได้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าการลงทุนด้านสุขภาพ ส่งผลกระทบเชิงบวกทั้งต่อเศรษฐกิจ สังคม และคุณภาพชีวิตของประชาชน ดังนั้น เพื่อให้การลงทุนด้านสุขภาพสามารถสนับสนุนการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืนและมีประสิทธิภาพ อีกทั้งยังเพิ่มโอกาสการเข้าถึงยาและลดภาระค่าใช้จ่ายประชาชนและช่วยลดช่องว่างด้านสุขภาพในประเทศไทย จึงมีความจำเป็นต้องกำหนดแนวนโยบายที่เหมาะสมต่อไป

ดาวน์โหลดเอกสารเพิ่มเติม: https://drive.google.com/drive/folders/1HMQkgv1USJwD868S6cl4BAIoHmnDizJV?usp=sharing